บทความที่ได้รับความนิยม

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"นิยาม" ของคำว่า Hair-cut คืออะไร?

"นิยาม" ของคำว่า Hair-cut คือ

การจ่ายชำระมูลหนี้ ที่เรามีค้างจ่ายไว้กับเจ้าหนี้ โดยมีข้อตกลงเจรจา เป็นการนำเสนอที่จะลดมูลหนี้ที่คงค้างกันอยู่ ว่าจะมีการลดหนี้ให้เท่าไหร่?
โดยคิดจากมูลหนี้ที่คงค้าง จากยอด ณ.ปัจจุบัน
ซึ่งส่วนมากทางเจ้าหนี้ควรจะเป็นผู้เสนอ ว่าจากมูลหนี้ที่คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบัน จะลดหนี้ให้เท่าไหร่? โดยการแจ้งเป็นตัวเลข ว่าจะลดให้กี่บาท หรือกี่เปอร์เซนต์ (ซึ่งส่วนมากจะเสนอตัวเลขเป็นเปอร์เซนต์)
ยกตัวอย่างเช่น มีหนี้คงค้างอยู่ ณ.ปัจจุบันเป็นจำนวนเงิน 100,000.-บาท (หนึ่งแสนบาท) ทางเจ้าหนี้เสนอมาว่า จะลดหนี้ให้เป็นจำนวน 30% ก็หมายถึง ทางเจ้าหนี้พึงพอใจที่จะเรียกเก็บเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาท (70%) เท่านั้น...ส่วนอีก 30,000.-บาท (30%) นั้น...ทางเจ้าหนี้ลดหนี้ให้ ด้วยเหตุผลต่างๆดังนี้

- ขี้เกียจทวงแล้วโว้ย...ทวงเท่าไหร่ก็ไม่ยอมจ่ายสักที
- ทางเจ้าหนี้ตัดเป็น NPL (หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้) หรือตัดเป็นหนี้"ศูนย์"ไปแล้ว
- ไม่อยากตั้งทุนสำรองหนี้"ศูนย์" ตามข้อตกลงของ MOU และตามคำสั่งของ ธปท. เพราะต้องตั้งเงินสำรองเอาไว้ 100,000.-บาท (เป็นการตั้งสำรองหนี้"ศูนย์"ในอัตรา 100% ของมูลหนี้ที่เสีย) ด้วยเหตุผลที่ว่า สู้เอาเงินที่ตั้งสำรองจำนวนนี้ ไปปล่อยกู้ใหม่ให้กับลูกหนี้รายอื่นๆ ยังได้กำไรจากการขูดรีดอัตราดอกเบี้ยกับลูกหนี้รายใหม่อื่นๆ มากกว่าการเอาเงินมาตั้งสำรองหนี้"ศูนย์"แบบนี้โดยไม่ได้อะไรขึ้นมา แถมยังได้เงินสดคืนมาจากเราอีก 70,000.-บาท เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับลูกค้ารายอื่นๆอีกด้วย
- ทางเจ้าหนี้ "กลัว" แพ้คดี ถ้าถึงขั้นการฟ้องร้องต่อศาล เพราะตัวเองมีการหมกเม็ด และโกงอัตราดอกเบี้ยของลูกหนี้ไว้เพียบ...ดังนั้น ถ้าวันนี้ ได้เงินคืนกลับมาบ้างบางส่วน ก็ยังดีกว่าที่ได้คืนมาน้อย หรือไม่ได้เลยในชั้นศาล ถ้าตัวเองฟ้องแล้วแพ้คดี (ตามสุภาษิตที่ว่า...กำขี้...ดีกว่ากำตด)
- ทางเจ้าหนี้กลัวว่าลูกหนี้จะเป็นอะไรไป...เนื่องจากการคิดสั้นของลูกหนี้... เหตุจากมีหนี้สินเยอะ เพราะถ้าลูกหนี้เป็นอะไรไป (หมายถึง ล้มหายตายจากไป) หนี้ดังกล่าว จะเป็นหนี้ศูนย์ทันที และจะไปฟ้องร้องกับใครก็ไม่ได้ เนื่องจากเป็นหนี้สินส่วนบุคคล ไม่เกี่ยวกับบุคคลอื่น ดังนั้น ถ้าอยากจะฟ้องต่อ ต้องตายตามลูกหนี้ เพื่อไปฟ้องต่อจากท่านยมบาลเอาเอง (แล้วใครมันยอมจะฆ่าตัวตายเพื่อไปตามทวงหนี้ต่อล่ะ)
- เจ้าหนี้ได้รับเงินคืนตามที่ตัวเองพึงพอใจแล้ว โดยคิดจากส่วนต่างที่หักจากค่าคอมมิชชั่นในการทวงหนี้ออกไป...ตัวอย่างเช่น ...เจ้าหนี้มีการตั้งค่าหัวในการทวงหนี้เราไว้ที่ 30% หากสำนักงานทวงหนี้ใดๆสามารถทวงหนี้เราได้...แบบว่า...ถ้าสมมุติว่า สำนักงานทวงหนี้ "ชั่ว"คอลเลคชั่น สามารถทวงหนี้เราได้ที่ 100,000.-บาท ดังนั้น สำนักงาน"ชั่ว"คอลเลคชั่น...รับเอาค่าคอมมิชชั่นไปเลย 30,000.-บาท เพื่อเป็นค่าแรงในการทวงหนี้ ส่วนทางเจ้าหนี้พอใจที่จะเอาเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาทเท่านั้นก็พอ ถ้าเป็นเช่นนั้น สู้เราไปจ่ายชำระหนี้ให้กับทางเจ้าหนี้โดยตรง ไม่ดีกว่าเหรอ? (โดยไม่จ่ายผ่านสำนักงานทวงหนี้) ทางเจ้าหนี้ก็พอใจในการรับเงินคืนเหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรทางเจ้าหนี้ก็มีความต้องการที่จะได้รับเงินคืนเพียงแค่ 70,000.-บาทอยู่แล้วนี่ โดยไม่สนใจว่าจะได้เงินคืนมาจากใครหรือด้วยวิธีใดก็ตาม
- ทางเจ้าหนี้มีการขายหนี้ของเรา ให้กับสำนักงานทวงหนี้ข้างนอก ในราคาถูกๆไปแล้ว เนื่องจากขี้เกียจตั้งทุนสำรองหนี้"ศูนย์" (อาจขายหนี้ไปประมาณสัก 2-3 หมื่นบาท) เพื่อให้สำนักงานข้างนอกไปทวงต่อเอาเองแล้วแต่จะได้ ดังนั้น ถ้าสำนักงานทวงหนี้เสนอราคาให้เรา 70,000.-บาทในการทำ Hair-cut...มันเองก็ยังได้กำไรจากส่วนต่างนี้ตั้ง 4-5 หมื่นบาท)
- เจ้าหนี้รีบลดราคาในการทำ Hair-cut ให้...ด้วยราคาที่งามมาก เนื่องจากคดีขาดอายุความในการฟ้องร้องไปแล้ว

ด้วยเหตุผลต่างๆ ตามที่กล่าวมานี้ จึงเกิดกระบวนการที่เรียกกันว่า Hair-cut เกิดขึ้น

แต่กระบวนการ Hair-cut นี้ มิได้เกิดขึ้นได้โดยง่าย
ต้องผ่านการบ่มระยะเวลามายาวนานพอสมควร โดยมีสูตรดังนี้
ยิ่งหยุดจ่ายนานเท่าไหร่...หนี้ก็ยิ่งเน่ามากขึ้นเท่านั้น หนี้ยิ่งเน่ามากเท่าไหร่...ก็ยิ่งได้ส่วนลดมากขึ้นเท่านั้น

หลายๆคนชอบเข้ามาตั้งคำถามที่ว่า
หยุดจ่ายมาได้ 3 เดือนแล้วครับ...จะได้ส่วนลดแล้วหรือยังครับ และถ้าได้ลด จะได้ส่วนลดกี่เปอร์เซนต์ครับ
คำตอบที่ชัดเจนคือ
ยัง!...และไม่มีทางที่จะเป็นไปได้เลย
เพราะการหยุดจ่ายเพียงแค่ 2-3 เดือน มันเป็นเพียงแค่บันไดก้าวแรกไปสู่กระบวนการ Hair-cut เท่านั้นเอง
การ Hair-cut ที่แท้จริง มันต้องหยุดจ่ายนาน 8-10 เดือนขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หรือบางทีอาจต้องรอจนถึงขั้นได้รับหมายศาลแล้วนั่นแหละ
จึงมีคำถามต่อมาอีกว่า...
แล้วถ้าเช่นนั้น ต้องหยุดจ่ายนานเท่าไหร่? ถึงจะได้รับหมายศาลล่ะ?
คำตอบก็คือ
โดยทั่วไปแล้ว ประมาณ 1 ปีครับ
แต่บางราย...ก็นานเกินกว่า 1 ปีนะครับ
ยกเว้น "ซิตี้แบงค์" เพียงรายเดียวที่ฟ้องเร็วที่สุด (เฉพาะรายนี้เพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ฟ้องเร็วมาก) โดยหยุดจ่ายประมาณ 4-6 เดือนก็ฟ้องแล้ว...ขอย้ำว่า...เป็นรายเดียวที่ฟ้องเร็วที่สุด...แต่รายนี้ ถ้าเราได้รับหมายศาลแล้ว...ก็จะได้รับข้อเสนอราคา Hair-cut ที่งามสุดๆเหมือนกัน

แต่ทั้งนี้...ไม่ว่าจะเป็นรายไหนๆ เงื่อนไขของการ Hair-cut ก็เหมือนๆกันหมดทั้งนั้น คือ
การเสนอส่วนลดให้ โดยต้องจ่ายชำระคืนเพียงงวดเดียวเท่านั้น
ไม่มีการผ่อนโดยเด็ดขาด
สำหรับส่วนลดที่ทางเจ้าหนี้เสนอมาให้ ก็มีตั้งแต่ 30% , 40% , 50% , 60% , 70% แล้วแต่เงื่อนไขการเจรจา , เทคนิคการต่อรอง และระยะเวลา
เพียงแต่อยากให้มองว่า เงื่อนไขที่ทางเจ้าหนี้เสนอมานั้น เราจ่ายไหวไหม? น่าสนใจและรับได้หรือเปล่า? อย่าไปมองเพียงแค่ต้องการให้ได้ส่วนลดเยอะๆเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ให้พิจารณาว่าถ้าเราจ่ายไปแล้ว เราลดเจ้าหนี้ไปอีกหนึ่งราย(ได้ลดศัตรูในการทวงหนี้ไปแล้วอีกหนึ่งที่) ที่เหลือก็ค่อยๆมาปลดหนี้ทีละรายต่อไป ตามกำลังและความสามารถ (แต่ต้องจ่ายไหวจริงๆนะ ห้ามไปกู้หนี้ยืมสินที่ต้องเสียดอกเบี้ยจากที่อื่นมาปิด Hair cut อีก มิฉะนั้น มันจะไม่มีวันจบสิ้น) ถ้าสามารถทำได้เช่นนี้ ก็จะสามารถปลดหนี้ได้โดยเร็ววัน

และสุดท้ายแล้ว สำหรับคำว่า Hair-cut
Hair-cut สามารถทำได้ตลอด ทุกช่วงเวลาหลังจากที่"หนี้"ของเรา"เน่า"แล้ว...ไม่ว่าจะเป็น
- ก่อนได้รับหมายฟ้อง (แต่ต้องหยุดจ่ายนานๆ หลายๆเดือนซะก่อนนะ)
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาล
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี โดยรอขึ้นศาลอีกครั้งในนัดหน้านัด หรือนัดต่อไป (แต่ยังไม่ได้พิพากษา)
- พิพากษาแล้ว รอการจ่ายชำระเงินคืนตามคำพิพากษา
- พิพากษาแล้ว และอยู่ในระหว่างการถูกอายัติเงินเดือน หรืออายัติทรัพย์สิน
เห็นไหมล่ะครับ ว่า Hair-cut สามารถทำได้ตลอดชีพจริงๆ
แต่การ Hair-cut ที่ได้ราคางามที่สุด (หรือที่เรียกว่า "นาทีทอง") นั้น...มักจะอยู่ในช่วงของเวลาดังต่อไปนี้
- หยุดจ่ายนานเกิน 10 เดือนขึ้นไป
- ได้รับหมายฟ้องแล้ว แต่ยังไม่ถึงวันที่ต้องไปขึ้นศาลในนัดแรก
- ขึ้นศาลแล้ว แต่ยังอยู่ในระยะเวลาระหว่างการต่อสู้คดี อีกหลายนัด (ยังไม่ได้พิพากษา)
ถ้่าพ้นกำหนดช่วงเวลาดังกล่าวนี้ไปแล้ว โปรโมชั่น "นาทีทอง" อาจหมดไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า จะ Hair-cut ไม่ได้...เพียงแต่ว่า อาจไม่ได้ราคางามๆตามโปรโมชั่นของ "นาทีทอง" ก็เท่านั้นเอง
และที่สำคัญ การทำ Hair-cut จะต้องให้ทางเจ้าหนี้ทำเอกสารยืนยัน การปลดหนี้ หรือหมดซึ่งภาระหนี้ ซึ่งกันและกัน ด้วยทุกครั้ง โดยเราต้องได้รับหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางเจ้าหนี้ ก่อนที่จะทำการจ่ายชำระ Hair-cut ใดๆ
ถ้ายังไม่ได้รับหนังสือยืนยันนี้ก่อน
ห้ามจ่ายโดยเด็ดขาด...!
ถูกหลอกให้จ่ายเงินเข้าไปก่อน โดยโกหกว่าจะยอมเสนอ Hair-cut ให้
ด้วยคำพูด หรือรับปากทางโทรศัพท์ แต่แล้วก็ไม่ยอมทำ Hair-cut ให้จริงๆ
โดนหลอกมาหลายรายแล้วนะครับ...ขอเตือน...
ที่มา:โดยนกกระจอกเทศ http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=12672

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น