บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2553

ใครถูกทวงหนี้โหดมาทางนี้


ปัจจุบันมูลนิธิฯ และกรรมการได้รับข้อมูลจากหลายๆ ด้าน
และประสพกับตัวเองก็มี ว่าการทวงหนี้โหดมันกลับมาอีกแล้ว
ฉะนั้นถ้าใครถูกทวงหนี้โหดทุกรูปแบบต่อไปนี้ให้ทำดังนี้

1.เรียบเรียงรายละเอียดที่ถูกกระทำให้ครบถ้วน
ชื่อ - นามสกุลของคุณ ชื่อของคนที่ทวงหนี้คุณ
อ้างเป็นอะไรก็ระบุมาให้ครบ (เช่นอ้างเป็นตำรวจก็ถามยศ,
อยู่สถานีตำรวจไหน, อ้างเป็นเจ้าพนักงานบังคับคดีก็ถามซะให้รู้ว่า
อยู่กรมบังคับคดีไหน, อ้างเป็นทนายก็ถามเลขที่ใบอนุญาตว่าความ, อ้างเป็นผู้ใหญ่บ้าน - กำนันก็ถามซะให้รู้ว่าอยู่ตำบลไหน อำเภอไหน จังหวัดไหน, อ้างเป็นอบต., อบจ.ก็เหมือนกัน)
ชื่อสถาบันที่เป็นเจ้าหนี้ของคุณ เหตุการณ์ที่ถูกกระทำให้ละเอียด
วัน เวลา เรียบเรียงให้ครบถ้วน ระบุพฤติกรรมให้หมด

2.ส่งเมล์มาที่ pig_evil@hotmail.comหรือ smbuyer@hotmail.com สองเมล์นี้เมล์แรกคือเมล์ของหมูสมิงซึ่งใช้เฉพาะกรณีนี้เท่านั้น
ใครส่งเมล์มาปรึกษาเรื่องหนี้จะไม่ได้รับการตอบกลับ
ส่วนอีกเมล์เป็นเมล์ของหัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค ของมูลนิธิฯ

วัตถุประสงค์
ทางมูลนิธิฯ และชมรมหนี้ฯจะผลักดันให้เกิด
พรบ.ทวงหนี้อย่างเป็นธรรมให้ได้
การดำเนินการ
มูลนิธิฯ จะส่งหนังสือเตือนถึงเจ้าหนี้สถาบันการเงิน, บริษัททวงหนี้
และทุกหน่วยงานที่ถูกกล่าวอ้าง หากยังมีพฤติกรรมทวงหนี้โหดอยู่
มูลนิธิฯ จะดำเนินคดีให้โดยใช้วิ.ผู้บริโภคฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ให้ผู้ที่ถูกละเมิด     








ที่มา:http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=20202

เคลียร์หนี้บัตรเครดิตแบบมือโปร

พอดีไปเจอข้อความที่น่าสนใจ จึงขอนำมาลงไว้ให้อ่านกัน

อาจจะสายไปสำหรับผมเองและพวกเราบางคน แต่ถ้ามีใครยังไม่อาการหนักนักก็อาจนำไปใช้ได้บ้างนะครับ.....


เคลียร์หนี้บัตรเครดิตแบบมือโปร
สัปดาห์ที่แล้ว ผมเปิดศักราชรับปีใหม่ ด้วยการแนะนำ 5 เทคนิค เริ่มต้นในการ เคลียร์หนี้บัตรเครดิต และในตอนท้ายสัญญาเอาไว้ด้วยว่าจะนำเสนอเทคนิคเคลียร์หนี้บัตรเครดิตขั้นสูง สำหรับแฟนคอลัมน์ที่เป็นมือเซียน

คำเตือน!! คอลัมน์ประจำสัปดาห์นี้ไม่เหมาะกับลูกหนี้ ที่ตั้งใจจะเบี้ยวหนี้แบงก์ หรือไม่มีความตั้งใจจริง ที่จะใช้หนี้คืนแบงก์ ประเมินกำลังตัวเอง ก่อนแปลงหนี้

หากท่านได้ประเมินแผนการเงินของตนเอง และแน่ใจแล้วว่าไม่สามารถจ่ายชำระหนี้ บัตรเครดิตทั้งหมดให้เสร็จสิ้นได้โดยเร็ว

โดยเฉพาะหากท่านยังพอเหลือบ้าน และที่ดิน อาคารพาณิชย์ ทาวน์เฮ้าส์ หรือแม้แต่ คอนโดมิเนียม อยู่บ้าง ขอแนะนำให้เอาไปใช้ เป็นหลักประกันเพื่อขอกู้สินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัยมาโปะหนี้

มีหลายเหตุผลที่แนะนำเช่นนี้ ประการแรก ท่านสามารถนำเงินค่างวด ผ่อนชำระหนี้ ในแต่ละเดือนมาขอหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคล ธรรมดาในวงเงินไม่เกิน 1 หมื่นบาท

ประการที่สอง การที่ท่านมีขีดความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนค่อนข้างจำกัดทำให้ ไม่เหมาะที่จะทนกัดฟัน ผ่อนชำระตามอัตราขั้นต่ำต่อไป คงต้องยอมรับความจริงว่าภาระหนี้สินนี้ต้องใช้ระยะเวลาค่อนข้างนาน (ส่วนใหญ่ ไม่ต่ำกว่า 3-5 ปี) ถึงจะเคลียร์ได้หมด

ทางออก ที่ดี ที่สุด ก็คือ ต้องหาวิธี ยืดระยะเวลา ในการ ผ่อนชำระหนี้ ออกไป ให้นานที่สุด ด้วยต้นทุน อัตรา ดอกเบี้ย ที่ต่ำที่สุด และสินเชื่อ เพื่อที่อยู่ อาศัย ก็คือ หนึ่งใน ทางเลือก ดังกล่าว

ประการสุดท้าย เนื่องจาก สินเชื่อ เพื่อที่อยู่อาศัย เป็นสินเชื่อ ประเภท ที่มี อสังหาริมทรัพย์ เป็นหลัก ประกัน และมี ระยะเวลา ในการ ผ่อนชำระหนี้คืน ระยะยาว แบบแน่นอน จึงมี ต้นทุน อัตรา ดอกเบี้ยต่ำ กว่าอัตรา ดอกเบี้ย บัตรเครดิต มากพอสมควร

แม้ว่า จะนับรวม ค่าธรรมเนียม ในการ จดจำนอง เป็นหลัก ประกัน เข้าไป ด้วยแล้ว ก็ตาม อีกทั้ง การผ่อน ชำระ ค่างวด ในแต่ละเดือน ยังเป็น แบบลดต้น ลดดอก ซึ่งจะช่วยให้ ลูกค้า มีภาระ ดอกเบี้ย ที่ต้องจ่าย ในแต่ละงวด ลดน้อยลง ไปเรื่อยๆ เมื่อระยะเวลา ผ่านไป

แต่ถ้า ไม่สะดวก ในการ เอาที่อยู่ อาศัย ซึ่งเป็น สมบัติ ชิ้นสุดท้าย ไปเสี่ยง กับเรื่องนี้ ก็เสนอ ให้พิจารณา สินเชื่อ รายย่อย อื่นๆ ประเภท ต้องใช้ หลักประกัน มาค้ำ ประกัน วงเงิน เช่น โอนลอย ทะเบียน รถยนต์ เป็นต้น และควรมี ระยะเวลา ในการ ชำระคืน แน่นอน อย่างน้อย สัก 3 ปี

กู้ยืมเงิน จากแหล่ง ที่อาจ ถูกมอง ข้ามไป
ถ้าท่าน เป็นหนี้ บัตรเครดิต เพราะหย่อนยาน ในเรื่อง วินัยทาง การเงิน แต่ได้วาง แผนชีวิต และการ ออมเอา ไว้บ้าง ตามสมควร เช่น ซื้อ "กรมธรรม์ ประกันชีวิต" ที่มี ระยะเวลา คุ้มครอง ตั้งแต่ 10 ปี ขึ้นไป หรือเป็น สมาชิก "สหกรณ์ ออมทรัพย์" หรือ "กองทุน สำรอง เลี้ยงชีพ" เป็นต้น

ต้องบอกว่า ท่านยัง คงพอมี ความหวัง อยู่บ้าง เพราะท่าน มีสิทธิ ขอรับ ความช่วยเหลือ ในรูป ของวงเงินกู้ อัตรา ดอกเบี้ยต่ำ ตามเงื่อนไข และสิทธิ ประโยชน์ ที่เขา กำหนดไว้ เช่น กู้ได้ ไม่เกิน ครึ่งหนึ่ง ของทุน ประกันชีวิต หรือสูงสุด ไม่เกิน ยอดเงิน สะสม ในกองทุน สำรอง เลี้ยงชีพ เป็นต้น

อย่าลืม ศึกษา รายละเอียด และเงื่อนไข ในการ กู้ยืมเงิน ให้ถี่ถ้วน ก่อนที่จะ ตัดสินใจ ใช้บริการ

สำหรับ ผู้ถือบัตร ที่เป็น พนักงาน องค์กร ธุรกิจต่างๆ น่าจะลอง ศึกษา หาข้อมูล เพิ่มเติมว่า บริษัท ของท่าน มีสวัสดิการ "วงเงิน กู้ยืม ฉุกเฉิน" หรือ "วงเงิน กู้ยืม บรรเทาทุกข์ อัตรา ดอกเบี้ยต่ำ" ให้ใช้ บริการ หรือไม่ แม้ว่า จะเป็น จำนวนเงิน ที่ไม่ มากนัก และท่าน คงต้อง ถูกหัก เงินเดือน ไปชำระหนี้ เลยทันที จงอย่า ลังเล ที่จะรีบ ตะครุบ โอกาส ดังกล่าว

เจรจา ต่อรอง กับแบงก์ ผู้ออกบัตร
หลายท่าน อาจจะ ไม่ทราบ มาก่อนว่า ในช่วง ที่ผ่านมา แบงก์หลายแห่ง เปิดโอกาสให้ลูกค้า รายย่อย มาเจรจา ต่อรอง ประนี ประนอมหนี้ และกลุ่ม ลูกค้า รายย่อย ที่แบงก์ ให้ความสำคัญ เป็นลำดับ ต้นๆ ในการ เจรจา ด้วย ก็คือ ลูกหนี้ บัตรเครดิต โดยเฉพาะ กลุ่มที่ มีสถานะ เป็นลูกหนี้ เอ็นพีแอล ของแบงก์

เหตุผล หรือครับ เพราะ ว่าหนี้ บัตรเครดิต เป็นหนี้ ที่ไม่มี หลักประกัน มีโอกาส ที่จะเป็น หนี้สูญ ได้มาก และเร็วกว่า หนี้ประเภท อื่น แบงก์ส่วนใหญ่ จึงยอม ที่จะขาดทุน นิดหน่อย ดีกว่า เสียเวลา เสียเงิน ไปฟ้องร้องกัน แม้บางครั้ง ได้รับ คำพิพากษา ให้ชนะคดี แต่ต้อง ตีเป็น หนี้สูญ เพราะหาตัว จำเลย ไม่เจอ

แนวทาง ในการ เจรจา ที่อยาก จะแนะนำ ให้เป็น ข้อมูล ก็คือ ถ้ายอดหนี้ ไม่สูง มากนัก (ไม่เกิน 5 หมื่นบาท) ก็อาจ จะเริ่ม จาก "ขอลดหย่อน ค่าธรรมเนียม ปรับ กรณี ผิดนัด ชำระหนี้" "ขอปรับลด อัตรา ดอกเบี้ย จากอัตรา สูงสุด กรณี ผิดนัด ชำระหนี้ เป็นอัตรา ดอกเบี้ยปกติ" "ขอยกเว้น การคิด ดอกเบี้ย จากยอดหนี้ คงเหลือ จนกว่า จะชำระหนี้ เสร็จสิ้น"

แต่ถ้า ยอดหนี้ มากหน่อย ก็อาจจะ "เจรจา ตกลง ผ่อนจ่าย หนี้คืน (สูงกว่า อัตรา ผ่อนชำระ ขั้นต่ำ) เป็นระยะเวลา 1-3 ปี โดยขอ ส่วนลด จากหนี้ เงินต้น และดอกเบี้ย ที่ต้อง ชำระ ในช่วงเวลา ดังกล่าว" หรือ "ขอลด ยอดหนี้เงินต้น และดอกเบี้ยลง อย่างน้อย 20-30% แล้ว จ่ายคืนหนี้ส่วนที่เหลือ คืนให้ทันที ซึ่งภาษาทางการหน่อย เขาเรียกกันว่า ให้เจ้าหนี้ยอมแฮร์คัท (hair-cut) ร่วมเจ็บตัวด้วย" เป็นต้น

กำลังจะเข้าไคลแม็กซ์อยู่พอดี เนื้อที่หมดซะก่อน คงต้องอดใจรอตอนจบ ในสัปดาห์หน้า รับรองว่าผมไม่ยุให้ท่าน "ชักดาบ" หรอกครับ
เรื่อง: บุญเลิศ อันประเสริฐพร
คอลัมน์ Money Gossip


ขออนุญาตสรุปประเด็น เพื่อย้อนเตือน ความทรงจำ กันสั้นๆ หนี้บัตรเครดิต แบบมือโปร เอาไว้ 3 วิธี ด้วยกัน ดังนี้

แปลงหนี้ บัตรเครดิต เป็นหนี้ระยะยาว ดอกเบี้ยต่ำ และผ่อนแบบ ลดต้นลดดอก

กู้ยืม จากแหล่ง เงินกู้ ที่อาจ ถูกมอง ข้ามไป เช่น ประกันชีวิต กองทุน สำรอง เลี้ยงชีพ สวัสดิการ เงินกู้ ฉุกเฉิน ดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น

เจรจา ต่อรอง กับแบงก์ ผู้ออกบัตร เพื่อขอลด ขอยกเว้น ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ต่างๆ หรือขอลดยอด หนี้เงินต้น และดอกเบี้ย แล้วจ่ายหนี้ ปิดบัญชี เป็นต้น

ถ้าหากเจรจา กันมาถึง ขั้นนี้ ยังหา ข้อสรุป หรือตกลง กับแบงก์ ไม่ได้ ก็นับว่า ปัญหา หนักหนาสาหัส เอาการ ผมเดา เอาว่า แบงก์คง ดำเนินการ ส่งเรื่อง ฟ้องศาล อย่างแน่นอน

ท่านผู้อ่าน คงนึก อยากจะรู้แล้ว ใช่ไหมครับ ว่าควร จะทำอย่างไร หรือ ยังพอมี ทางจะ ทำอะไรได้ ดีกว่า การก้มหน้า รับชะตากรรม ที่จะเกิดขึ้น ที่สุดแล้ว...ต้องร้องขอ ความเมตตา จากศาล

เดิมทีแบงก์ จะมีข้อจำกัด ในการฟ้องร้อง ทางแพ่ง ลูกหนี้ ผู้ถือบัตร บางราย มากพอ สมควร ไม่ว่า จะเป็น ในเรื่อง ของอายุความ ในการ ดำเนินคดี ซึ่งจะสั้น กว่าปกติ คือ มีอายุ ความเพียง 2 ปี นับตั้งแต่ ได้มีการติดต่อ กับแบงก์ เป็นครั้งสุดท้าย

หรืออย่างกรณี ที่มียอด ทุนทรัพย์ ในการฟ้องร้อง เป็นจำนวนเงิน ไม่มากนัก รวมทั้ง กรณีที่ แบงก์ไม่ทราบ ถิ่นที่อยู่ แน่นอน ของลูกหนี้ ผู้ถือบัตร หรือตามล่ าหาตัวกัน ไม่เจอแล้ว

เพราะแบงก์ ต้องเสีย ค่าใช้จ่าย ในการ ส่งเจ้าหน้าที่ ไปเร่งรัดหนี้ ค่อนข้างสูง รวมทั้ง หากต้องการ ส่งเรื่องดำเนินการ ฟ้องร้อง ต่อศาล ก็จะต้อง เสียค่า ใช้จ่ายจิปาถะ ในการแต่งทนาย และค่า ธรรมเนียมศาล ในอัตรา 2.5 % ของยอด ทุนทรัพย์

พูดง่ายๆ ก็คือ ได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งทำก็ยิ่งเข้าเนื้อ
ครั้นจะคิด ฟ้องล้มละลาย ลูกหนี้ ผู้ถือบัตร บางราย เพื่อขู่ ให้ลูกหนี้ รีบติดต่อ ชำระหนี้คืน ก็คงใช้ไม่ค่อยได้ผล เสียแล้ว เพราะกฎหมาย ได้ปรับ เพิ่มยอด ทุนทรัพย์ ขั้นต่ำ ที่จะสามารถ ฟ้องล้ม ละลายให้สูงขึ้น จากเดิม เป็นจำนวนมาก อีกทั้ง ลูกหนี้ ก็มีโอกาส ที่จะเปลี่ยน สถานภาพ จากบุคคล ล้มละลาย กลับมาเป็นปกติ ได้ใน ระยะเวลา ไม่นานนัก

แน่นอนครับ ลูกหนี้ ที่พอรู้ช่องโหว่ ตรงนี้ ก็มักเอาไปใช้ หาประโยชน์ เบี้ยวหนี้แบงก์ เอาเสียเฉยๆ ซึ่งสร้าง ความปวดเศียร เวียนเกล้า ให้กับนายแบงก์ เป็นอย่างมาก

อย่างไร ก็ดี ขณะนี้ แบงก์สามารถ ดำเนินการ ฟ้องร้อง ลูกหนี้ คดีบัตรเครดิต ที่มียอดทุนทรัพย์ ไม่เกิน 4 หมื่นบาท เป็นคดี มโนสาเร่ ได้แล้ว ซึ่งการ ฟ้องร้อง และการพิพากษา จะเป็นไป อย่างรวดเร็ว อีกทั้ง มีค่าธรรมเนียม ขึ้นศาล เพียง 200 บาท ต่อคดี เท่านั้น นับได้ว่า เป็นวิธี การแก้เผ็ด ลูกหนี้ ที่จงใจ เบี้ยวหนี้ ได้ดี ทางหนึ่ง

ถ้าหากเรื่อง ถึงโรงถึงศาล ทางออก สุดท้าย ก็คือ ต้องร้อง ขอความ เมตตา จากศาล ในการ ขอลดหย่อนหนี้ และดอกเบี้ย ที่แบงก์ จะเรียกเก็บ ให้บรรเทา เบาบางลง รวมทั้ง ให้มีเงื่อนไข ในการ ขอผ่อนชำระ หนี้คืน ตามกำลัง ความสามารถ ที่มี

เพราะศาลจะ เริ่มต้นจาก การไกล่เกลี่ย ให้แบงก์ และลูกหนี้ ไปเจรจา ประนี ประนอม ยอมความกัน เสียก่อน หากตกลง กันได้ ก็จะได้ ไม่ต้อง มารบกวนเวลา ไต่สวน ของศาล

แต่ถ้าเรื่อง เลยเถิดไป จนถึงต้อง มีการนัด สืบพยาน และพิจารณา หลักฐานต่างๆ แล้ว จงอย่าขาด นัดศาลโดย ไม่มีเหตุผล อันสมควร เด็ดขาด

พบเห็น มาหลาย รายแล้ว ที่ศาล พิจารณา ตัดสินคดี โดยให้น้ำหนัก ของการ สืบพยาน และหลักฐาน ของแบงก์เพียง ฝ่ายเดียว เพราะลูกหนี้ ผู้ถือบัตร ขาดนัดศาล ติดต่อกัน หลายครั้ง โดยไม่ แสดงตัว

ถึงแม้ว่า จะรู้อยู่แล้ว ว่า อย่างไรเสีย แบงก์คงชนะ คดีค่อนข้าง แบเบอร์ เพราะสามารถ พิสูจน์ได้ว่า ลูกหนี้ เป็นหนี้ แบงก์จริง มีมูลเหตุ แห่งหนี้ และพยาน หลักฐาน แห่งหนี้ ครบถ้วน

แต่ข้อเท็จจริง ที่สังเกต ได้ประการ หนึ่ง ก็คือ ลูกหนี้ มักจะได้รับ ความกรุณา จากศาล ในการลดหย่อน ค่าปรับ ค่าธรรมเนียม ต่างๆ หรืออัตรา ดอกเบี้ย ที่จะคิด จากลูกหนี้ ได้บ้าง ตามสมควร รวมทั้งบางครั้ง ยังอนุญาต ให้ลูกหนี้ ผ่อนชำ ระหนี้ คืนด้วย

สรุปกันง่ายๆ ตรงนี้ได้ว่า ให้ขอในสิ่ง ที่ควรจะขอ เพราะถ้าไม่ขอ ก็คง ไม่มีใคร คิดอยาก จะให้ แล้วเมื่อ ตกลงกัน ไว้อย่างไร ก็จงปฏิบัติ ตามนั้น อย่างเคร่งครัด

ก็ครบถ้วน กระบวน ความกัน เพียงแค่นี้ กับกลเม็ด เด็ดพราย ที่จะใช้เคลียร์ หนี้บัตรเครดิต ท่านผู้อ่านท่านใด มีข้อคิดเห็นที่พิสดาร มากกว่าที่ Money Gossip ได้เสนอแนะไป ก็ยินดีน้อมรับฟังครับ
เรื่อง : บุญเลิศ อันประเสริฐพร
คอลัมน์ Money Gossip

ที่มา: http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=320
ตาม ที่ผมเคยโพสหัวข้อเรื่องดังกล่าว เมื่อวันที่23/10 ลำดับที่01007นั้น ภาคนี้ผมจะขอสรุปเป็นแนวทาง เพื่อจะให้ผู้ที่เป็นหนี้ ได้ซัดกับผู้รับจ้างหนี้ทวงหนี้ ที่มีนิสัยเลวๆได้ ผมขอตั้งชื่อเรื่องนี้ว่า" รู้เท่าทัน ผู้รับจ้างทวงหนี้" 1.ประการแรกถ้ามีผู้โทรเข้ามา และอ้างว่า ได้รับมอบอำนาจจากเจ้าหนี้ ไม่ว่าจะเป็นธนาคาร หรือไม่ใช่ ก่อนจะพูดอะไร บอกให้บุคคลนั้น บอกชื่อ นามสกุล และเบอร์โทรสำนักงานของเขา ผมเชื่อว่าพวกมันจะไม่ยอมบอกเด็ดขาด อาจบอกเฉพาะชื่อเล่น เพราะในฐานะที่เคยทำงานสำนักงานดังกล่าว ทางหัวหน้า กำชับเด็ดขาด ห้ามบอกเบอร์ธรรมดา ให้กับลูกหนี้ ที่เราทวงถามเด็ดขาด เพราะถ้าลูกหนี้รู้เบอร์ เกิดมีเรื่องเข้าข่ายถูกแจ้งความกับตำรวจนั้น ตำรวจสามารถติดตามไปเบอร์ดังกล่าวได้ แต่ถ้าเขาโทรมาก่อกวนอีก เราก็เปลียนโทรศัพท์เป็นระบบสั่นก็หมดเรื่อง และพอเวลามีผูโทรมาให้ดูเบอร์ที่โทรมา บนจอถ้าไม่มีเบอร์โชว์ ก็ไม่ต้องไปรับ กดทิ้งไปเลย 2.หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ พวกมันจะมาพยายามโทรมาด่าว่า พูดจาหยาบคาย แม้ว่าเราไม่เป็นคนเช่นนั้นเราก็ต้องสวมบทผู้ร้ายมั่งละ เราต้องอย่าไปยอมให้มันด่าข้างเดียว แค่จงด่ากับมัน และถ้าโดนทวงหนี้ในลักษณะนี้ ถึงมีก็ไม่ควรให้ เพราะถ้ายอมจ่ายเพราะกลัวมัน ก็จะกลายบรรทัดฐานที่พวกมันจะใช้กับคนอื่นต่อไป 3.ถ้ามีการบอกว่าจะมาเก็บที่บ้านหรือที่ทำงาน ก็ไม่ต้องให้ เพราะเราไม่รู้ว่า ถ้ามันรับไปแล้ว จะเอาเข้ากระเป๋าหรือเปล่า และต่อไปมันก็จะมาอีก 3.ถ้าผู้ที่มีบัตรหลาย อาจตัดความรำคาญอาจจะยอมเบิกจากใบนี้ มาจ่ายใบโน้น แค่คิดก็ผิดแล้ว เพราะดูจากสถิติที่สำนักงานของผม ในที่สุดก็จ่ายไม่ได้ สู้เก็บเงินเอาไว้ เป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันจะดีกว่า 4.ถ้าเห็นว่าเราไม่มมีทางจ่ายจริงๆ สู้ให้เจ้าหนี้ฟ้องดีกว่า เวลาถูกฟ้องควรไปตามที่ศาลนัด ถ้าไม่มีค่าทนายก็ไปเอง เพื่อเราจะสามารถต่อรองได้ และศาลจะเห็นใจเรา ถ้าเราสามารถแจกแจงให้ศาลฟังว่า เราไม่มีจริงๆ และถ้าตกลงกันได้ให้ผ่อนน้อยที่สุด ให้รับปากไปก่อน ถ้าภายหลังไม่สามารถจ่ายได้ตามที่ตกลง ก็ไม่เป็นไรก็จะเสียแค่ดอกเบี้ยเท่านั้น ผมคิดว่าคุณคงไม่สมบัติอะไรจะให้ยึดอีกแล้ว แต่ถ้าเราหนี้ต่อรายเกินล้านบาท และไปเจอเจ้าหนี้ฟ้องล้มละลาย เราห็จะเหมือนกับถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง เพราะภายใน3ปี เราก็จะพ้นจากล้มละลาย และหนี้ต่างที่เรามีอยู่ ก็จะหมดไปโดยตามกฏหมาย ที่ผมเล่าให้ฟังมานี้ ผมคิดว่าอาชีพทวงหนี้นั้น มันสอนให้เราเป็นแข็งกระด้าง และก็หยาบคาย ก็ขนาดบางทีผมคิดว่า ทำไมเรากล้าพูดจาหยาบคายกับลูกหนี้ กลับบ้านต้องเปลืองยาบ้วนปาก จนบางทีเผลอตัว ไปพูดกับแฟนก็เจอมาแล้ว ผมยังคิดว่า ถ้าแฟนผมรู้ว่า พูดมีอาชีพเช่นนี้คงจะบอกเลิกกับผมแน่
ผมจึงขอให้กำลังใจกับลูกหนี้ทุกคน และขอให้นำแนวทางที่เล่าให้ฟัง ไปฟาดกับ ผู้ทวงหนี้เลวๆเช่นที่หลายคนโดนแล้ว และพวกนี้จะได้หมดไปจากสังคมไทยเสียที และผมเชื่อว่า ทุกคนที่เป็นหนี้ ที่ไม่มีจ่ายนั้น ไม่ได้ตั้งใจจะโกง แต่เป็นเพราะความประมาท และหนี้รายเล็กๆขนาดนี้ ไม่มีวันที่จะให้ธนาคารเจ๊งหรอก ที่เจ๊ง ก็เพราะปล่อให้พวกลูกหลาน และพรรคพวกของตัวเอามากกว่า

ที่มา: http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=1050

คำสารภาพของผู้ที่เคยทำงานที่สำนักงานรับจ้างทวงหนี้

ในฐานะ ที่ผมเคยทำงานกับสำนักงานรับจ้างทวงหนี้หลายสำนักงาน เหตุที่ต้องออกและบอกกับตัวเองว่าจะไม่ไปทำงานกับสำนักงานดังกล่าวอีกเลย เพราะบังเอิญไปทวงกับญาติกับเข้า แต่ใช้คนละนามสกุล ที่รู้ เพราะวันหนึ่ง กลับไปเยี่ยมบ้าน และได้พบกับญาติคนดังกล่าว ได้มาถามว่าเราทำงานอะไร เราก็บอกว่าทำงานที่สำกงานทนายความ ทางญาติจึงได้เล่าให้ฟังว่า เป็นหนี้บัตรเครดิต และถูกทวงถามด้วยวาจาหยาบคาย และด้วยวิธีการต่างเหมือนบุคคลอิ่นที่โดน ที่ได้โพสมาระบายบนเว็บนี้ พอผมกลับไปครวจสอบชื่อ ปรากฏเป็นคนที่อยู่ในความรับผิดชอบของผมเสียด้วย และเป็นคนที่โทรไปจริง และได้พูดจาตามที่ญาติคนดังกล่าวได้ปรับทุกข์ให้ฟังจริง ผมนี่พูดอะไรไม่ออกเลย เลยตัดสินใจลาออกจากงานดังกล่าวแล้ว และตอนหลังผมไม่พยายมพูดคุยกับญาติคนนั้นอีกเลย เพราะกลัวเขาจำเสียงได้ ผมจึงขอเล่าหลักสูตรได้รับการอบรมมาในการเริ่มต้นทำอาชีพให้ทราบดังกล่าวคือ สำนักงานที่ผมทำงานอยู่ จะรับจ้างทวงหนี้เกือกทุกแบ็งค์ เช่น แสตนดาร์ชาร์เตอร์ ฮ่องกงแบ็งค์ ซิตี้แบ็งค์ อิออน อีซิไบ คือหัวใจของคนทวงหนี้ จะมีปรัชญาในการทวงหนี้ว่า ทวงอย่างไรก็ได้ขอให้ได้ แม้ว่าทางลูกหนี้ จะอ้างเหตุอย่างไร อย่าไปใจอ่อน เช่น ลูกป่วย ไม่มีเงินจริงๆเลย รายได้ไม่มี กำลังตกงาน เพราะต้องท่องไว้ในใจว่า เราไม่ใช่ปอเต็กตึ้ง วิธีการทวงที่ได้รับการอบรมมา ก็เหมือนกับที่ทุกคนโดนนั้นแหละ แต่ขอให้คำแนะนำเคล็ดลับเรื่องหนึ่ง ต้อง ตอบโต้ก็คือ ถ้าถูกทวงด้วยวิธีการรุนแรง ต้องรุนแรงตอบ เช่นถ้าถูกด่าก็ด่ากลับไป สังเกตุพวกนี้ จะไม่ยอมบอกชื่อจริง และเบอร์ติดต่อกลับ อย่าหงอเป็นอันขาด โดยเฉพาะ ถ้าแกล้งบอกว่าจะมาหาถึงที่ทำงาน ไม่ต้องกลัว แค่คำขู่เท่านั้น ถ้ามาก็อย่าให้เข้าบ้าน หรือที่ทำงาน สามารถแจ้งตำรวจจับในข้อหาบุกรุกได้ทันที มีครั้งหนึ่งหัวหน้าให้ไปตามเก็บเงินกับลูกหนี้รายหนึ่ง พอไปที่บ้านผมแทบจะช็อก เพราะคนนั้น อาชีพรองเป็นคนคุมวินมอเตอร์ไซ้ด์ ผมถูกเตะ ถูกซ้อม และยังถูกแจ้งตำรวจจับในข้อหาบุกรุกเสียอีก แต่ผมหนีทัน เพราะที่ต้องทำกันอย่างนี้ ส่วนหนึ่งต้องทำเวลา ถ้าเก็บไม่ได้ตามเวลาที่ผู้จ้างกำหนดไว้ เขาก็จะเปลียนสำงานใหม่ แต่ถ้าได้ก็จะมีลูกหนี้รายอื่นส่งมาเรื่อยๆ และผมก็ได้ส่วนแบ่งตามเปอร์เซ็นต์ที่เก็บได้เช่นกัน แต่ถ้าไปเจอลูกหนี้ท้าให้ฟ้อง ผมกลับไม่ชอบ เพราะมีหวังอดได้เปอร์เซ็นต์ และจากการถามทนายที่ประจำบริษัท ส่วนมากที่ฟ้องไปแล้ว โอกาสได้ตามฟ้องยิ่งยากใหญ่ เพราะเหตุว่า แม้ศาลพิพากษาให้จ่าย แต่ส่วนมากจะเลยมักจะไม่มีจ่ายเสียมากกว่า อายุความก็แค่10ปีจากวันศาลพิพากษา และในระยะหลัง ก็ยึดทรัพย์ก็ลำบาก มีการแก้ไขกฏหมายที่เป็นคุณต่อลูกหนี้มาก โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่เจ้าบ้านเองแล้ว ยิ่งลำบากใหญ๋ ท้ายทีสุดผมจึงให้คำแนะนำกับลูกหนี้ทั้งหลาย ว่าต้องโต้ตอบกับคนที่ทวงหนี้เลวด้วยวิธีการเลวๆ ไม่ว่าจะเป็นคำพูดหรืออะไรก็ได้ เอาวิธีการที่เขาทำกับเราให้ย้อนศรกลับไป และอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเขาโทรมาอย่าปิดโทรศัพท์เป็นอันขาด ต้องรับโต้ตอบจนมันวางไปเอง และเรื่องที่ไปฟ้องหัวหน้าพวกมัน อย่าทำเสีย ค่าโทรเปล่า ลองคิดดูว่า ถ้าหัวไม่ส่าย หางจะส่ายได้อย่างไร และถ้าเป็นไปได้ควรจะไปแจ้งกับตำรวจไว้เป็นหลักฐาน ถ้ามีการเทปไว้ยิ่งดีใหญ่ เพราะพวกผมกลัวเรื่องถึงตำรวจมาก เพราะที่ทำอยู่มันผิดกฏหมายทั้งสิ้น
ที่มา:  http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=1007

อยากจัดการกับพวกที่ใช้วิธีทวงหนี้โหดๆ มั้ย?

ถ้าคุณเป็นลูกหนี้ที่ถูกคนทวงหนี้ทำแบบนี้
1. ส่งแฟกซ์เข้าที่ทำงานประจานให้คนรับแฟกซ์เห็น
ส่งครั้งหนึ่ง 10 ? 20 กว่าหน้าและส่งวันหนึ่งหลาย ๆ ครั้ง

2. ส่งไปรษณียบัตรไปที่บ้าน, ส่งให้คนข้างบ้าน,
ส่งไปที่ทำงานของคุณ

3. ส่งจดหมายขู่สารพัดจากบริษัททนายตัวแทนสถาบันการเงินต่าง ๆ ปั๊มตัวแดงๆ ใหญ่ๆ ว่า อนุมัติดำเนินคดี,อนุมัติสืบทรัพย์,
อนุมัติยึดทรัพย์ ? อายัดเงินเดือน, เอกสารสำคัญทางคดี ฯลฯ

4. ส่งจดหมายเลียนแบบหมายศาล, ทำจดหมายเลียนแบบ
ทำให้ลูกหนี้เข้าใจว่าเป็นคำสั่งศาล และขู่ว่าคุณจะโดนอายัดเงินเดือน,
ขู่ว่าจะฟ้องเจ้านาย ขู่ว่าคุณจะถูกดำเนินคดีอย่างร้ายแรง
ภายใน 3 วัน 7 วัน ฯลฯ


คุณรู้หรือไม่ว่าการกระทำอย่างนี้มีความผิดทางอาญา
มีโทษทั้งจำทั้งปรับแจ้งความตำรวจได้

ใครอยากร่วมไปแจ้งความกับกองปราบ เพื่อให้เป็นบทเรียนกับพวกทวงหนี้โหด เพียง
1.ส่งชื่อ - นามสกุล
2. ที่อยู่
3. เบอร์โทรศัพท์
4. ตัวอย่างจดหมาย, แฟ็กซ์, ไปรษณียบัตรหรือเอกสารทวงหนี้ที่คุณได้รับ

ส่งมาที่
'หมูสมิง' E-mail : pig_evil@hotmail.com


ที่มา :  http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/view.php?id=5257

โชว์สเต็ป การจ่ายปิดบัญชีแบบมีส่วนลด

การเจรจาต่อรองปิดบัญชีขอส่วนลด(Hair Cut)
สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือความแน่นอนในยอดเงินในการชำระหนี้
การโชว์เสต็ปครั้งนี้ผมมีภาพประกอบและเรื่องราวทั้งหมด
เพื่อให้ท่านเข้าใจในเรื่องของการ Hair Cut ที่แน่นอนและชัวร์ที่สุด
จำไว้ว่าคำพูดลมๆ แล้งๆ มั่วๆ อย่าเชื่อมันแค่สัญญาปากเปล่าเป็นแค่ลมปากเป่า
จะช้ำใจเสียเงิน เสียความรู้สึก



Step:1 การต่อรอง

เรามีหนี้ต้องใช้หนี้ แต่เมื่อเกิดสภาวะแบบนี้และมีเงินจำกัดและรายได้ที่จำกัด เราต้องมีการเจรจาต่อรองผ่อนผัน วิธีของผมคือการพูดเพื่อให้มีเจตนาชำระหนี้และขอความเห็นใจเพื่อปิดบัญชีขอ ส่วนลด

การปิดบัญชีแบบมีส่วนลด ( Hair Cut) การทำวิธีการขอส่วนลดเราจะพูดไปทื่อๆ ตรงๆ ไม่ได้ มันตรงเกินไป ในกรณีของผมจะมีหลายรายหน่อยถ้าเรามียอดหนี้ที่พอๆ กันและหยุดจ่ายพร้อมๆ กันหมด

สมมติว่ามี 3 - 4 รายอยู่ในยอดที่พอๆ กันเช่น 20000 - 30000 ก็ดูจากบัญชีหนี้ที่มีอยู่ เงินที่เรามีจำกัด กำหนดเป้าหมายในใจก่อนเพื่อดำเนินไปตามเป้าหมายเช่น
จาก 20000 ------เหลือ 10000.-
จาก 30000 ------เหลือ 15000 - 16000.- กำลังสวย
เงินในมือที่มีอยู่จำกัดเช่นได้มาจากการขายของ คอมมิชชั่น
โบนัส 3 เดือน พอชำระงวดเดียวหรือไม่ต้องเตรียมให้พร้อม
ถ้าไม่มีอย่าไปเจรจาด้วยวิธีการนี้เด็ดขาด

เมื่อฝ่ายทวงหนี้ให้แฟกซ์ภาระหนี้ก็ให้บอกไปตามจริงแต่...
อย่าไปบอกจนหมดเหมือนกับเราเล่นไพ่ในบ่อนคาสิโนรอแยลเราจะหงายไพ่หมดไม่ได้ อ่านแล้วอาจจะค้านอยู่ในใจใช่ไหมครับ บอกหมดก็ดีอยู่แล้ว เราเป็นคนซื่อ คนดีมีอะไรเราบอกหมดไม่ปิดบัง แต่ในความจริงที่รุ่นพี่สอนผมว่า"บางครั้งการเป็นคนดี บางทีก็ปวดร้าว" ใช่แล้วครับเพราะเจ้าหนี้เรามีหลายรายใครๆก็อยากได้ก่อนจริงไหมครับ ผมเคยบอกหนี้หมดกลับไม่เป็นผลดี ไม่ได้ส่วนลดเลยก็เจอมาแล้วครับ บอกได้แต่เป็นบางส่วนเท่านั้น

ต่อมาการต่อรองเพื่อขอปิดบัญชี ให้อ่านนะครับ
รายนี้ผมหยุดจ่ายมาเป็นปียอดอยู่ที่ 18000.-เปลี่ยน สนง.ทวงไป 4 ที่ ยอดขึ้นไป 22000.- การต่อรองเริ่มขึ้น
ม๋า--ยอดหนี้รีไรท์ 22000.- เมื่อไหร่จะจ่ายยะ
ผม--จ่ายแน่นอนครับแต่....
ม๋า--แต่อะไรคะคุณ
ผม--รอโบนัสมาปิดบัญชีครับแต่มีจำกัดผมขอจ่ายที่ 10000.-ครับ
ม๋า---อะไรนะ หมื่นถ้วนเนี่ยนะ พูดเป็นเล่นเอาแบบนี้เลยเหรอ
ผม---ครับคุณ ช่วยวิ่งให้ผมหน่อยครับ เพราะตอนนี้รายอื่นๆก็เสนอส่วนลดมาเหมือนกันพี่
ม๋า---รายไหนบ้างล่ะ
ผม---ที่แรกคิกแคท 22100.- ให้ส่วนลดมา เหลือ 12000.-
ที่ๆ 2 ธ.กงสี 25000.- เหลือ 10000.-
ที่ๆ 3 ธ.กุงไทย 28000.- เหลือ 15000.- ผ่อนได้
ม๋า---ขนาดนี้เลยเหรอคุณ
ผม---คุณลดได้เท่าไหร่
ม๋า----เดี๋ยวพี่วิ่งให้แต่พร้อมจ่ายแน่นอนนะ
ผม---ครับ อยากได้หมื่นถ้วนครับ

การเจรจาผมก็เตะถ่วงไปจนได้ส่วนลดตามที่ต้องการ
ผมก็บอกว่าอะไรกัน 18000.- โห...ลดน้อยจังลดอีกๆๆ
อย่างง้านๆ งั้น ลดอีกสิ โหน้อยจังผมไปปิดบัตรกงสีก่อนครับ
ก็เล่นตัวกันหน่อยเพราะต้องปิดจริงๆ

สุดท้ายก็ลดได้สมใจแต่มันก็ขอสำเนาบัตรประชาชน
ถ้าเจอแบบนี้อย่าไปให้ ให้เขาแฟกซ์หนังสือส่วนลดยืนยัน
ยอดหนี้ก่อนชำระมาให้ดู ทุกอย่างต้องเป็นลายลักษณ์อักษร
คำพูดหวานเจี๊ยบ คำพูดลมๆแล้งๆเชื่อไม่ได้

เมื่อได้หนังสือยืนยันมาแล้วก็ดับเบิ๊ลเช็คกับธนาคารว่าชัวร์
แน่นอนแล้วก็ปิดบัญชีแล้วการเจรจากับธนาคารโดยตรงก็ทำในลักษณะนี้
เช่นกัน



Step:2 หนังสือยืนยันการปลอดภาระหนี้

อีก 2 สัปดาห์ต่อมาจะมีหนังสือปลอดภาระหนี้มาให้
เพื่อเอาไปอัพเดตกับเครดิตบูโรได้ต่อไป
ถ้าไม่เป็นไปตาม Step นี้ห้ามจ่ายเด็ดขาด
ถ้าดับเบิลเช็คไปที่ธนาคารแล้วไม่ใช่อย่าจ่าย

ด้วยความปรารถนาดี
คนเลวของ Bank
นักชกวงใน



ที่มา:  http://www.consumerthai.org/old/compliant_board1/index_001.php